มือชาเท้าชา คืออะไร?

มือชา เท้าชา หมายถึง อาการที่เกิดจากการสูญเสียความรู้สึกบางส่วนหรือทั้งหมดในบริเวณมือหรือเท้า บางครั้งอาจมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนเข็มทิ่ม ปวด หรือรู้สึกแปลก ๆ เช่น ร้อน ๆ หนาว ๆ โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็นอาการถาวร ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมือชา เท้าชา

อาการมือชาที่พบบ่อยๆ จะแบ่งออกตามสาเหตุหลักใหญ่ๆ 2 สาเหตุ คือ อาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทกดทับ กับอาการชาที่มีสาเหตุจากโรคทางกายร่วมอื่นๆ

1.อาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ

เกิดจากเส้นประสาทหลักของมือถูกกดทับในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ทำให้บริเวณที่เส้นประสาทไปเลี้ยงนั้นเกิดอาการชาและปวด กลุ่มนี้สังเกตได้จากอาการชามือมักเป็นที่ด้านใดด้านหนึ่ง สาเหตุเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดเบียดในตำแหน่งที่ชัดเจน

เส้นประสาทหลักของมือมีอยู่ 3 เส้น ได้แก่

เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve)

เส้นประสาทอัลนาร์ (Ulnar Nerve)

เส้นประสาทเรเดียล (Radial Nerve)

โดยอาการมือชาที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากเส้นประสาทมีเดียนบริเวณข้อมือถูกกดทับ ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงฝ่ามือด้านนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง

2.อาการชาที่มีสาเหตุจากโรคทางกายร่วม

อาการชาที่เป็นสาเหตุจากโรคทางกายอื่นๆ เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ปลายประสาทอักเสบ หรือขาดวิตามินบีรุนแรง โดยในกลุ่มนี้มักมีอาการชาส่วนปลายทั้งมือและเท้า มีอาการชามือทั้งสองข้างเท่าๆ กัน ซึ่งแนะนำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง

อาการมือชา เท้าชา สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายเตือนเรา!

อาการ “ชา” ที่เกิดขึ้นกับมือหรือเท้านั้น มักจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขาดเลือดหรือเกิดปัญหาการส่งสัญญาณประสาทไปยังบริเวณนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกครั้งที่มือหรือเท้าชาจะเป็นอาการที่อันตราย แต่เราต้องสังเกตความถี่และสาเหตุที่อาจนำไปสู่อาการเหล่านี้

โดยทั่วไป อาการชาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อาจเกิดจากการนั่งทับขาหรือวางแขนในท่าที่ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี เมื่อเราปรับเปลี่ยนท่าทางแล้ว อาการชาก็จะหายไป แต่หากคุณมีอาการชาเป็นเวลานาน ชาไม่หาย หรือเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคที่อาจซ่อนอยู่

สรุป

มือชา เท้าชา อาจดูเป็นเพียงอาการเล็กน้อยหรือแค่ชั่วคราว แต่ในความเป็นจริงอาการชาอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายของเรากำลังส่งสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย หากได้รับการดูแลและให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ก็สามารถป้องกันก่อนที่จะเจอกับอาการชาได้ และหากพบอาการชาบ่อยครั้ง ชาไม่หายไป หรือมีความผิดปกติร่วมกับอาการชา ควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและตรวจหาเพื่อหาสาเหตุของอาการดังกล่าว

Related Posts